ขายของออนไลน์ รายได้ 1 หมื่นบาท/วัน

มูลค่าการตลาดอีคอมเมิร์ซเมืองไทยปี 2562 ประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท และคาดว่ามูลค่าการตลาดอีคอมเมิร์ซ นี้จะสูงขึ้นในปี 2563 และคาดการณ์ไปถึงปี 2565 ว่าจะมีการเติบโตขึ้นกว่า 22%

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นทิศทางของ “สินค้าออนไลน์”ว่าน่าสนใจมากแค่ไหน ปัจจัยที่ทำให้ตลาดออนไลน์โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดคือ ตัวเลขของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยจำนวนผู้ใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือ กว่า 124 ล้านเบอร์ นั่นเท่ากับกว่า 1 คนมีมากว่า 1 เบอร์ การเติบโตของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ที่ 52 ล้านราย ไลน์ 44 ล้านราย อินสตาแกรม 13 ล้านราย

ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนตลาด “โซเชียล คอมเมิร์ซ” ในไทยให้ขยายตัวต่อ โดยคนไทยเลือกซื้อสินค้าผ่านโซเชียล คอมเมิร์ซ เป็นอันดับ 2 รองจากE-Marketplace

ไม่น่าแปลกใจที่คิดอะไรไม่ออก บอกไม่รู้จะทำอะไร เราก็เลือก “ขายของออนไลน์” แต่ www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าใช่ทุกคนที่จะทำธุรกิจนี้แล้วเติบโตมีรายได้งดงาม เราอย่าลืมว่ายุคนี้คู่แข่งเยอะมาก ทั้งรายเล็ก และรายใหญ่

ไหนจะปัญหาเรื่องการควบคุมต้นทุนสินค้า การจัดส่งสินค้า ทำให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์บางคนไปรอดในขณะที่อีกหลายคน “ไม่รอด” นอกจากเทคนิคพื้นฐานที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ดีว่าขายของออนไลน์ต้องทำอย่างไร หากต้องการขายของออนไลน์ได้กำไรต่อเดือนมากๆ ต้องมีวิธีที่พิเศษยิ่งกว่า

สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ “จะเลือกขายอะไร”

1.เสื้อผ้าแฟชั่น

16

ภาพจาก bit.ly/35Wc8bo

โดยในปี 2019 มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดถึง 24% หาคำนวณเฉพาะลูกค้าคนไทยที่มีกว่า 60 ล้านคน ก็ แต่ปัจจุบันที่โลกการค้าไร้พรหมแดน เรายังสามารถขายเสื้อผ้าผ่านช่องทางออนไลน์ไปได้ทั่วโลก โดยปี 2019กลุ่มสินค้าขายดีในหมวดนี้ประกอบด้วยกระเป๋า ,ชุดชั้นในผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้หญิง

2.สินค้าสุขภาพและความงาม

15

ภาพจาก bit.ly/36UVkmv

มีสัดส่วนยอดขาย 19% โดยสินค้ามาแรง ได้แก่ อาหารเสริม ,ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และลิปสติก

3.เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ภายในบ้าน

14

ภาพจาก bit.ly/30rrHGL

คิดเป็น 14% สินค้าขายดีในหมวดนี้ได้แก่ ของใช้ภายในบ้าน หน้ากากอนามัย และ ของใช้ภายในครัวเรือน

4.สินค้ากีฬา สัตว์เลี้ยง outdoor และของสะสม

13

ภาพจาก bit.ly/2tZEvbh

สินค้าประเภทกีฬา สัตว์เลี้ยง outdoor และของสะสม คิดเป็นสัดส่วน 9% สินค้าในหมวดนี้ได้แก่ ชุดออกกำลังกายที่กำลังได้รับความนิยมจากเทรนด์การดูแลสุขภาพ รวมถึงอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์หรือยากำจัดเห็บหมัดก็เป็นสินค้าขายดีเช่นกัน

5.โทรศัพท์ และ อุปกรณ์สื่อสาร

12

ภาพจาก bit.ly/36XbknI

สินค้าขายดี เช่น เคสโทรศัพท์ สายชาร์จต่างๆ หรืออุปกรณ์วางโทรศัพท์ในรถยนต์

เทคนิคขายของออนไลน์กำไรสูงทุกเดือน

11

ภาพจาก bit.ly/2RjVDAp

กฎพื้นฐานของการ ขายของออนไลน์ คือ เราต้องคำนึงถึงราคาสินค้าที่เราจะขาย ต้องใช้ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาขายควรอยู่ประมาณ 500 -1,000 บาทให้เหมาะสมกับรายได้ของคนยุคนี้ และของทุกชิ้นต้องมีคุณภาพ ส่งให้ลูกค้ารวดเร็วตามที่เรารับปาก ที่สำคัญคือต้องรู้จักตั้งราคา โดยผู้สันทัดกรณีบอกว่าราคาต้องต่ำกว่าท้องตลาดประมาณ 30% และต้องมีกำไรจากต้นทุนประมาณ 4.5 เท่า

เช่นต้นทุนสินค้าราคา 100 บาท เราต้องขายในราคา 450 บาทเพื่อให้ได้กำไร 4.5 เท่าหรือถ้าจัดโปรโมชั่นการขายกำไรต้องประมาณ 3 เท่าคือได้ 300 บาท และถ้าเป็นการขายส่งราคาควรอยู่ที่ 1.5 – 2 เท่า ราคาขายคือ 150 – 200 บาท และวิธีการขายก็จำเป็นต้องอาศัยช่องทางโซเชี่ยลที่หลากหลาย มีการสะสมลูกค้าเก่าและเปิดลูกค้าใหม่เรื่อยๆ

Ryan ตัวอย่างของคนขายของออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ

10

ภาพจาก cnb.cx/38elG37

ยกตัวอย่างของ Ryan ชายหนุ่มผู้ที่สร้างยอดขายออนไลน์ได้ประมาณ 200,000 เหรียญต่อเดือน เขาเริ่มจากการหาซื้อสินค้าลดราคาใน Walmart หรือร้านอื่นๆ ที่มักจะมีการลดราคาสินค้าเสมอๆแล้วนำสินค้าเหล่านั้นมาขายบน Amazon

โดย Ryan ใช้เวลาหลังจากเลิกงานและในวันหยุดเฉลี่ยวันละ 10 ชม./ สัปดาห์ในการเลือกสินค้าลดราคาพร้อมกับเปิดแอป Amazon เพื่อเปรียบเทียบราคา หลังจากนั้นก็จะซื้อสินค้าจำพวกของเล่น เกม อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และอื่นๆ ที่สามารถทำกำไรได้เมื่อนำมาขายในภายหลัง Ryan เริ่มต้นทำเงินจากการขายออนไลน์ในช่วงแรกได้ประมาณ 1,000 เหรียญต่อเดือน

และเขาเริ่มเอากำไรจากการขายมาต่อยอดธุรกิจและลาออกจากงานหลังเริ่มธุรกิจนี้ไปได้ 3 เดือน วิธีที่ Ryan ใช้คือการค่อยๆ เติบโตและเมื่อมีทุนมากขึ้น Ryanตัดสินใจเช่าโกดังเก็บสินค้าขนาด 725 ตารางฟุต และมีการจ้างพนักงานเพื่อมาช่วยเขาทำธุรกิจให้เป็นระบบมากขึ้น

เกร็ดน่ารู้! ขายของออนไลน์ปี 2020

9

ภาพจาก bit.ly/385Q0N9

ใครอยากเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคนี้ต้องรู้ไว้เพราะมีกฎหมายล่าสุด ชื่อว่า ภาษีอีเพย์เมนต์ พ.ศ. 2562 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 และให้สถาบันการเงินส่งรายงานธุรกรรมครั้งแรกต่อกรมสรรพากร ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563

ใจความสำคัญคือ การกำหนดให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ e-wallet ต้องรายงานข้อมูลผู้มีบัญชีธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากรทราบ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล (ผู้ที่จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัท) ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยหลักเกณฑ์ที่เข้าเงื่อนไขว่าต้องเสียภาษีคือ

  1. มียอดฝากหรือโอนเข้าทุกบัญชี (เฉพาะรายรับ) ตั้งแต่ 3,000 ครั้ง/ปีขึ้นไป
  2. ฝากหรือโอนเงินเข้าทุกบัญชี ตั้งแต่ 400 ครั้ง/ปีขึ้นไป
  3. มียอดเงินรวมกัน ตั้งแต่ 2,000,000 บาท/ปีขึ้นไป (ซึ่งต้องเข้าเงื่อนไขทั้งจำนวนครั้งและจำนวนมูลค่าของเงินที่รับฝากหรือโอน)

ซึ่งหากเราไม่อยู่ในเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อข้างต้น คือมียอดโอนเพื่อซื้อสินค้าไม่ถึง 3,000 ครั้ง/ปี หรือยอดเงินรวมไม่ถึง 2,000,000 บาท ก็เพียงแค่ยื่นภาษีแสดงรายได้ประจำปีปกติ เพราะปัจจุบันร้านค้าออนไลน์ก็ต้องยื่นภาษีเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หากมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดมีอัตราเสียภาษี ดังนี้

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีเงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาท/ปีขึ้นไป ใช้เกณฑ์เดียวกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี จะเรียกเก็บที่ 7%

หลายคนมองว่ากฎหมายภาษีทำให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มีรายได้น้อยลงและทำให้ธุรกิจนี้เริ่มต้นได้ยากขึ้น แต่ในความเป็นจริงเชื่อว่ากฏหมายนี้ไม่ได้มีผลต่อคนทำธุรกิจออนไลน์มากนัก เพียงแต่รู้จักใช้เทคนิคการบริหารจัดการให้ดี วางแผนธุรกิจให้เป็นระบบ

โอกาสสร้างกำไรเดือนละแสน หรือหลักล้านก็อาจเป็นไปได้ แต่สำคัญคือในช่วงเริ่มต้นอาจจะไม่ได้มีรายได้หวือหวาต้องอดทนและพยายามเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยๆ จากกำไรวันละหลักร้อย อาจเพิ่มเป็นหลักพัน และไปถึงหลักหมื่นได้ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจล้วนๆ


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

อ้างอิงข้อมูลจาก https://bit.ly/2tCkpUK

plann01

ท่านใดสนใจอยากให้ร่างสัญญาแฟรนไชส์โดยถูกต้องตามหลักกฎหมายแจ้งความประสงค์ได้ที่
โทร : 02-1019187, Line : @thaifranchise

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด